“ดร.เอนก” ชู สุวรรณภูมิ HUB คือสะพานเชื่อมโลก ศูนย์รวมแห่งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม นวัตกรรมและภูมิปัญญาของดีมีค่า แนะ “คนไทยควรเรียนรู้อดีต มาทำเป็นอนาคต”
พัฒนาให้เป็นชุมทางและสถานีการค้า พาณิชยการและบริการที่สำคัญของโลก ก้าวสู่ความเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
1 ธันวาคม 2564 : ศ.(พิเศษ).ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาโครงการสุวรรณภูมิ HUB “สุวรรณภูมิ อะไร ทำไม อย่างไร” พร้อมด้วย รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวง เข้าร่วมด้วย งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ หอแสดงคนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.เอนก กล่าวว่า ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิคือจุดศูนย์กลางของการค้า วัฒนธรรมของโลก มายาวนานกว่า 2,500 ปี ด้วยสภาพพื้นที่ที่เชื่อมโยงแต่ละภูมิภาคเข้าด้วยกัน และได้มีหลายประเทศและหลากหลายอรยธรรมเข้ามามีบทบาท เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมากแห่งหนึ่งของโลก แสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่ควรศึกษาถึงความเป็นมาอย่างแท้จริงเพื่อนำมาใช้เป็นพื้นฐานการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้เกิดเป็นอารยธรรม หากเราต้องการผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาและมีความเป็นอารย เราต้องรู้จุดแข็งในความเป็นอดีตของเราที่มีความลึกซึ้งและมีคุณค่าแห่งหนึ่งระดับต้นๆ ของโลก ศึกษาข้อมูลในอดีตมาปรับใช้กับปัจจุบันให้มีความก้าวหน้า และต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อยอดไปสู่นวัตกรรมในอนาคต กล่าวคือ “ไทยต้องทำปัจจุบันให้ดี และมองถึงอนาคตอย่างจริงจัง ใส่ใจและภูมิใจในอดีต” จะทำให้การศึกษา สืบสานและต่อยอด ประสบผลสำเร็จได้อย่างแน่นอน
รมว.อว.กล่าวต่อไปว่า การที่เราสนใจและเรียนรู้สุวรรณภูมิศึกษา จะทำให้มองเห็นอนาคตของประเทศ ซึ่งหลายอย่างแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเคยเกิดขึ้นในอดีตกาล เพียงแต่ไม่มีการค้นคว้าอย่างจริงจัง ทำให้เลือนหายไปจากประวัตศาสตร์ของเรา ตนเห็นว่าถ้าเกิดการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาร่วมกันทุกภาคส่วนจะทำให้ดินแดนสุวรรณภูมิกลับมามีบทบาทมากขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์ จากปัจจุบันที่ดินแดนตะวันตกเป็นศูนย์กลางด้านศิลปวัฒนธรรมของโลก แต่อนาคตอันใกล้จะมีศิลปมาตรฐานต่างๆ ของโลกตะวันออกเกิดขึ้น และพื้นที่ของสุวรรณภูมิจะเป็นสะพานเชื่อมโลกเข้าด้วยกันเช่นเดิม ทั้งเรื่องของการค้า การบริการ ศิลปและวัฒธรรมต่างๆ จะเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ และยอมรับแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ยกตัวอย่าง พื้นฐานของคนไทยที่ต่างชาติมองเห็นว่าเราเด่นเพียงเรื่องเกษตรกรรม แต่มีหลายตำราที่พิสูจน์ให้เห็นว่าสถาปัตยกรรม หัตกรรม และสุทนรยศาสตร์ ของเราก็มีมาแล้วอย่างช้านาน ความเป็นศิลปินและจินตนาการอยู่ในสายเลือดของคนไทย อาทิ เช่น การทำเครื่องจักรสานตลอดจนต่อยอดทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องเรือนต่างๆ ทองแดงและดีบุก หรือเรื่องโลหะวิทยา มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าเราคือพื้นที่ที่สิ่งนี้ทั้งปริมาณ และคุณภาพที่ดีแห่งหนึ่งของโลก และที่สำคัญดินแดนแห่งสุวรรณภูมิคือสถานที่แห่งความเป็นเครือญาติ มีความเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มาอย่าง ช้านาน ความยิ่งใหญ่เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานชั้นดีในการค้นคว้าศึกษาเพื่อนำอดีตที่มีคุณค่า มาพัฒนาประเทศได้ในอนาคต
“สุวรรณภูมิเริ่มต้นจากการเป็นโลกาภิวัฒน์ จากความจำเป็นที่ทุกชาติต้องเกิดการค้าขาย และดินแดนแห่งนี้คือจุดศูนย์กลางที่เป็นสะพานเชื่อมโลก และในอนาคตเราควรคิดถึงประเทศไทยของเราว่าจะสามารถพัฒนาให้ก้าวขึ้นมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร มองให้ลึกถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์ ตนขอให้กำลังใจและขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านในการจัดตั้งสุวรรณภูมิ HUB สิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคนพบ นวัตกรรม และงานวิจัยครั้งสำคัญของประเทศ เพิ่มมูลค่า คุณค่า แต่ต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาด้านการแพทย์ การอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรมควบคู่กันไป เราอาจจะสร้างสันติภาพและอารยธรรมที่ใหญ่มากแห่งใหม่บนโลกใบนี้ผ่านดินแดนสุวรรณภูมิ”ศ.(พิเศษ).ดร.เอนก กล่าวในตอนท้าย